27/04/2016 De Pokhara à Jomosom
27/04/2559 จาก Pokhara สู่ Jomosom
Comme nous devions prendre un petit avion pour Jomosom depuis l’aéroport de Pokhara, nous sommes arrivés à Pokhara la veille (la visite de cette ville sera dans une autre partie). Réveil à 5h du matin pour aller à l’aéroport. Le bâtiment est petit et il n’y a que 2 étages. Le rez-de-chaussée ne sert qu’à l’enregistrement et à l’embarquement alors que le restaurant avec la vue sur la piste est au premier étage. Lors de l’enregistrement, nous avons dû nous peser pour estimer le poids total de l’avion. Heureusement, nous n’avons encore rien mangé au petit déjeuner ! Le nom de la compagnie aérienne est Simrik Airlines. Le guide nous a dit qu’il fallait attendre la confirmation pour l’embarquement parce que le ciel n’était pas encore dégagé et c’était donc dangereux de partir.
เราต้องมาขึ้นเครื่องบินเล็กที่สนามบิน ณ โพคารา จึงจำเป็นต้องนอนที่นี่ 1 คืน (ในส่วนของเมืองโพคารานั้น เราจะมาเล่าให้ฟังว่าเมืองนี้เป็นยังไงในอีกพาร์ทนึงนะ) วันนี้เราตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมาสนามบินที่โพคารา สนามบินที่นี่ค่อนข้างเล็ก มีตึกเดียว 2 ชั้น ชั้นแรกจะเป็นอาคารผู้โดยสารที่มีไว้สำหรับเช็คอินและบอร์ดดิ้ง ส่วนชั้นที่สองก็จะมีร้านอาหารที่สามารถมองเห็นรันเวย์ได้ชัดมาก เรามาถึงสนามบินและรอเช็คอิน ซึ่งในช่วงเช็คอินนั้น ไม่เพียงแต่ชั่งน้ำหนักกระเป๋าเท่านั้น เรายังต้องชั่งน้ำหนักตัวเองด้วย ไกด์บอกว่าเราต้องรอคอนเฟิร์มจากสายการบินอีกทีว่าจะได้บอร์ดดิ้งกี่โมง เพราะว่าท้องฟ้าไม่เป็นใจ จะอันตรายมากถ้าขืนบินตอนนี้ เราก็เลยจำเป็นต้องรอ สำหรับสายการบินที่เราเลือกคือ Simrik Airlines
Nous avons attendu jusqu’à 9h30 et le vol a été annulé. Le seul moyen pour se rendre à Jomosom est donc la voie terrestre. Au lieu de mettre 20 minutes en avion pour y aller, il faut maintenant se taper 10 heures en jeep ! Quelle sacrée différence !! Pour être optimiste, je me dis que ce sera pas mal quand même d’admirer les paysages pendant 10 heures. Le départ en jeep est à 10h25. Et voilà c’est parti !
เรารอจนถึง 9 โมงครึ่ง ก็ได้รับคำตอบว่าไฟลท์โดนแคนเซิล ไม่สามารถทำการบินได้เพราะมีเมฆปกคลุมหนามาก มีทางเดียวที่จะไป Jomosom ได้ก็คือทางบก จากที่ควรจะใช้เวลาเดินทาง 20 นาทีโดยเครื่องบิน เราก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นนั่งรถจี๊บ 10 ชั่วโมง แต่มาคิดดูอีกทีก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ถือว่าได้ดูวิวข้างทางไปด้วยในตัว เราออกมาขึ้นรถจี๊บกันตอน 10.25น
Vers 13h, c’est notre petit pause déjeuner. L’image de la ville urbaine a disparu. Il ne reste que la vue des montagnes et la sécheresse en face de nous. Nous avons commandé le Dal Bhat comme le guide et le chauffeur. Dal Bhat est le plat national et typique népalais, que vous trouvez partout dans le pays. Tout est servi dans un plateau, qui se compose de riz, lentilles, légumes sautées, pickles épicés, pommes de terre sautées et sauce piquante. C’est à volonté en plus ! Ils viennent rajouter des trucs si c’est pas suffisant.. Oh que j’adore cette petite pause !! hahaha Comme j’avais une faim de loup, je n’ai pas eu le temps de prendre la photo de Dal Bhat dans ce boui-boui. La photo ci-dessous est le Dal Bhat que j’ai mangé le dernier jour de trek. Vous verrez à quoi ressemble ce plat. Ça sent fort les épices mais j’aime bien !
ในช่วงแรกๆถนนก็ยังดีอยู่จนถึงที่พักทานอาหารกลางวัน เราสั่ง Dal Bhat (ดาล บัท) มากินเหมือนไกด์ ดาลบัทนี่ถือเป็นอาหารประจำชาติของเนปาลเลย ซึ่งจะเสิร์ฟทุกอย่างมาในหนึ่งถาดใหญ่ ในถาดก็จะมีข้าว ซุปถั่ว ผัดผัก แกงไก่ (บางที่ก็ไม่มีเนื้อสัตว์) ผักดอง ผัดมันสำปะหลัง น้ำพริก ซึ่งอาหารแต่ละอย่างจะหอมเครื่องเทศมาก ถ้าไม่พอก็เติมได้อีก เสียดายว่าตอนนั้นหิวจัดเลยไม่ทันได้ถ่ายรูป แต่เรามีภาพดาลบัทอีกที่หนึ่งมาให้ชมกันด้านล่าง ซึ่งเป็นดาลบัทที่เราทานในวันสุดท้ายของเทรค
Le guide nous a préparé des couverts. En fait, je voulais bien manger avec les mains comme eux parce que ça a l’air plus délicieux. Quand j’étais petite, je mangeais avec les mains aussi dans mon pays. Mais il n’y a aucun endroit pour laver les mains tout sales ici donc je n’ai pas pu refuser les couverts.
ไกด์กับคนขับเตรียมช้อนส้อมมาให้เรา ความจริงเราอยากจะใช้มือกินอย่างพวกเขา เพราะเราก็เคยกินข้าวด้วยมือตอนเด็กๆ แล้วรู้สึกว่ามันอร่อยกว่าใช้ช้อนด้วยนะ แต่ที่นี่ไม่ใช่เหมือนบ้านเรา ด้วยความที่มือสกปรกมากและไม่มีที่ล้างมืออีกด้วย ช้อนส้อมก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอาหารมื้อนี้
Après le déjeuner, c’est l’heure de poursuivre la route. Le chauffeur nous prévient qu’à partir d’ici, ça va être “Dancing Road” (Route dansante). Il ne dit pas de bêtises ! Je voudrais rajouter “Route dansante au style indien” en plus avec la tête secouée à gauche, à droite, comme les indiens tout au long du trajet. En fait, il y a beaucoup de cailloux et de nids de poules. Beaucoup de poussières aussi !
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ เราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ คราวนี้คนขับบอกเราว่าตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไปจะเป็น Dancing Road เราขอคอนเฟิร์มว่าจริงอย่างที่เค้าบอก แต่ขอเพิ่มเติมว่าเป็นแด๊นซ์สไตล์อินเดีย หัวโอนเอนไปมาตลอดทาง นั่นก็เป็นเพราะถนนที่ขรุขระ ไม่เรียบเหมือนครึ่งทางแรก บางทีมีหัวชนกันอีกนะ ในระหว่างทางเราเจอฝุ่นที่คละคลุ้งไปหมด ถ้ามีรถแซงข้างหน้าก็จะเห็นแต่ฝุ่นตลบอบอวล
En fin d’après-midi, nous faisons une petite pause avec du thé massala chaï (mon thé préféré !!) dans une maison. J’ai pris la photo d’une petite fille avec la joue rougie trop mignonne devant la maison. Ensuite, sa grande soeur est venue essuyer la joue de sa petite soeur parsemée de petites graines de riz. Je pense qu’elle veut que sa soeur soit propre sur la photo. Ça me fait penser à mon enfance avec ma grande soeur qui prenait soin de moi aussi. J’ai fait une petite vidéo de ces deux filles. Elles ont sauté de joie de se voir dans la vidéo. C’est merveilleux de rendre quelqu’un heureux. La maman de ces deux filles nous a préparé un thé rempli d’épices. Son thé était vraiment succulent !!
ในตอนเย็น เรายังคงไม่ถึงที่หมาย เรามาพักดื่มชา Massala Chai (มาสซาลาชาย)ที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นชาโปรดปรานของเราเลย เราสังเกตเห็นเด็กน้อยแก้มแดงอยู่หน้าบ้าน เลยขอไปแชะรูปด้วยซักหน่อย สักพักพี่สาวของเด็กน้อยคนนี้ก็มาเช็ดแก้มให้น้องเพราะมีเศษข้าวติดที่หน้าของน้องสาวนิดหน่อย พี่สาวคงอยากจะให้น้องสาวดูดีในรูปถ่าย ไม่เลอะเทอะ เป็นภาพที่น่ารักมาก มันทำให้เรานึกย้อนไปในวัยเด็กของเรากับพี่สาว เราถ่ายวิดีโอสองพี่น้องคู่นี้ พวกเขาดีใจมากที่เห็นตัวเองในวิดีโอ การที่เราได้ทำให้ใครคนนึงมีความสุขได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นความสุขเล็กๆแต่ก็เป็นอะไรที่อิ่มเอมใจมาก สักพักเจ้าของบ้านก็เอาชามาให้เรา ชาที่บ้านหลังนี้อร่อยมากๆ เมื่อชิมไปก็รู้เลยว่าเจ้าของบ้านไม่หวงเครื่องเทศ ใส่มาสซาลา (Massala) มาในชาเต็มเปี่ยม เราไม่เคยเบื่อที่จะดื่มชาที่นี่เลย พอดื่มชาเสร็จเราก็บอกลาเด็กๆและทุกคน
Nous sommes arrivés au lodge à Kagbeni vers 20h. Au dîner, le guide vient nous expliquer l’itinéraire du lendemain. En fait, nous étions sensés dormir à Jarkhot ce soir et démarrer le trek de là bas. Tout est décalé à cause du vol annulé. Il nous dit que le temps de marche serait trop long si nous voulons suivre le programme. Donc il est obligé de changer l’itinéraire. Mais nous insistons pour suivre le programme prévu initialement car c’est hors des sentiers battus quand même ! Nous proposons de prendre la jeep jusqu’à Jarkhot qui devait être le point de départ de notre trek. Ce n’est pas sûre de trouver une jeep mais le guide va essayer. À voir demain..
เรามาถึงที่พัก ณ เมือง Kagbeni ในตอน 2 ทุ่ม ในช่วงที่ทานอาหารมื้อค่ำ ไกด์ก็มาแพลนเส้นทางสำหรับวันพรุ่งนี้กับพวกเรา ความจริงคืนนี้เราต้องไปพักที่ Jarkhot และต้องเริ่มเดินจาก Jarkhot ในวันพรุ่งนี้ แต่ไกด์บอกว่าเราไม่สามารถไปตามเส้นทางในโปรแกรมได้ เพราะจะใช้เวลาเดินนานมาก แต่เราอยากไปตามเส้นทางในโปรแกรมเพราะเราไม่ต้องการไปเส้นทางที่นักท่องเที่ยวใช้กัน เราก็เลยเสนอให้ไกด์หารถจี๊บให้เราพรุ่งนี้เช้าเพื่อไป Jarkhot และเริ่มเดินจากที่นี่ แค่นี้เราก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางแล้ว ไกด์ตอบตกลงแต่ไม่คอนเฟิร์มว่าเราจะหารถจี๊บให้เราได้รึเปล่า ต้องมาลุ้นกันในวันรุ่งขึ้นล่ะนะ