Partie I Du Cercle d’Or au Sud ตอนที่ 1 จากวงแหวนทองคำสู่ทางใต้ของไอซ์แลนด์

Partie I Du Cercle d’Or au Sud ตอนที่ 1 จากวงแหวนทองคำสู่ทางใต้ของไอซ์แลนด์

Et voilà, c’est parti pour une nouvelle aventure en Islande !!!! le pays dont tout le monde rêve d’aller une fois dans sa vie. Notre but n’est pas seulement  de voir des aurores boréales, mais aussi de profiter des magnifiques paysages du pays. Ce voyage dure 2 semaines, du 17 février au 3 mars 2017.

ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากไปซักครั้งนึงในชีวิต เป้าหมายในการไปก็ไม่ใช่แค่แสงเหนืออย่างเดียว แต่เป็นทัศนียภาพของประเทศไอซ์แลนด์ด้วย ทริปนี้เราไปกัน 2 อาทิตย์ คือ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2560 เอาล่ะมาเข้าเรื่องราวการเดินทางของเรากันเลย

Avant de partir

ก่อนเดินทาง

Nous commençons à planifier le voyage en Décembre 2016. En hiver, le meilleur moyen de voyager dans le pays est de faire le tour de l’île. Pour nous, le choix est de le faire dans le sens inverse des aiguilles d’une montre.  Il est impossible de se rendre à l’intérieur du pays à cause des intempéries (neige, routes barrées etc.).

Et voici, notre itinéraire définitif :

เราเริ่มแพลนกันตอนเดือนธันวาคม 2559 ก่อนอื่นเราก็จัดโปรแกรมว่าเราจะเที่ยวที่ไหนบ้าง เส้นทางที่ดีที่สุดในการเที่ยวไอซ์แลนด์ฤดูหนาวคือขับรถเที่ยววนทวนเข็มนาฬิการอบไอซ์แลนด์ เพราะด้วยสภาพภูมิอากาศในหน้าหนาวประกอบกับหิมะปกคลุมเยอะมาก และมีเส้นทางตัดขาดเยอะจึงไม่สามารถไปเที่ยวในตัวแผ่นดินใหญ่ได้  และนี่ก็คือเส้นทางของเรา แทน แท่น แท๊น แทนนนน

Carte road trip Islande 2017

Jour 1 : Vendredi 17 février : Arrivée à l’aéroport de Keflavik à 15h50

Jour 2 : Samedi 18 février : Reykjavik – En route vers le cercle d’Or

Jour 3 : dimanche 19 février :  Volcan Kerid  – Anciennes maisons de tourbe de Keldur  – Cascades de Seljalandsfoss  – Cascades de Skogafoss  – Avion US Navy perdu sur les plages de sable noir

Jour 4 : lundi 20 février :   Dyrholaey  – Plage de sable noir à Vik – Champs de lave de Eldhraun  – Cascade de Svartifoss

Jour 5 : mardi 21 février : Le parc national Vatnajökull  Lagune Jökulsárlón (Glacier géant Vatnajökull)

Jour 6 : mercredi 22 février : Traversée des fjords de l’Est  Fáskrúðsfjörður – Seyðisfjörður – Egilsstadir

Jour 7 : jeudi 23 février :  Cascade de Dettifoss  – Cave de Grjótagjá  – Bains d’eau chaude naturelle de Myvatn

Jour 8 : vendredi 24 février : Myvatn   Site de Dimmuborgir

Jour 9 : samedi 25 février :  Cascade de Godafoss  – Siglufjörður

Jour 10 : dimanche 26 février :   En direction de la péninsule de Snæfellsnes

Jour 11 : lundi 27 février :  Hvammstangi  – Stykkisholmur (péninsule de Snæfellsnes)

Jour 12 : mardi 28 février :   Kirkjufell  – Balade sur la péninsule de Snaefellsnes

Jour 13 : mercredi 1 mars :   Arnarstapi – Église noire de Budir (Búðir) – Balade à la recherche des phoques à Ytri-Tunga – Borgarnes

Jour 14 : jeudi 2 mars :   Retour sur Reykavik et nuit à Keflavik

Jour 15 : vendredi 3 mars :   Décollage à 07h00 du matin pour la France

17 กุมภาพันธ์ 2560 : ออกเดินทางจากสนามบินที่ปารีสด้วยเที่ยวบินของ Icelandair และไปถึงสนามบินที่เมือง Keflavik ตอน 15.50น

18 กุมภาพันธ์ 2560 : Reykjavik – วงแหวนทองคำ (Golden circle)

19 กุมภาพันธ์ 2560 : ปล่องภูเขาไฟ Kerið  – บ้านเก่าแก่ที่ Keldur  – น้ำตก Seljalandsfoss – น้ำตก Skogafoss – ซากเครื่องบินของทหารสหรัฐบนชายหาดสีดำ

20 กุมภาพันธ์ 2560 : หน้าผา Dyrholaey  – ชายหาดสีดำที่ Vik – ทุ่งมอสส์ Eldhraun – น้ำตกหินบะซอลต์ Svartifoss

21 กุมภาพันธ์ 2560 : ธารน้ำแข็ง ณ อุทยานแห่งชาติ Vatnajokull

22 กุมภาพันธ์ 2560 : เที่ยวลัดเลาะตามฟยอร์ดตะวันออก Fáskrúðsfjörður – Seyðisfjörður – มุ่งหน้าสู่เมือง Egilsstadir

23 กุมภาพันธ์ 2560 : น้ำตก Dettifoss – ถ้ำลาวา Grjótagjá – แช่น้ำพุร้อนที่ Myvatn

24 กุมภาพันธ์ 2560 : Myvatn  ทุ่งลาวา ณ Dimmuborgir

25 กุมภาพันธ์ 2560 : น้ำตก Godafoss – Siglufjörður

26 กุมภาพันธ์ 2560 :  มุ่งหน้าสู่คาบสมุทร Snæfellsnes

27 กุมภาพันธ์ 2560 :  Hvammstangi – Stykkisholmur (คาบสมุทร Snæfellsnes)

28 กุมภาพันธ์ 2560 : Kirkjufell – ขับรถเที่ยวแถวคาบสมุทร Snæfellsnes

1 มีนาคม 2560 : Arnarstapi – โบสถ์สีดำที่ Budir (Búðir) – แมวน้ำ ณ หาด Ytri-Tunga – Borgarnes

2 มีนาคม 2560 :  Reykavik  – คืนรถที่ Keflavik

3 มีนาคม 2560 :  ไฟล์ทกลับปารีสเวลา 7.00น

 

Ensuite, il faut trouver les hébergements qui sont hyper important !! Pensez à réserver bien bien longtemps avant votre voyage car nous avons eu du mal à trouver. En plus le prix est assez élevé.

Impossible de faire le tour de l’Islande sans ceci : la voiture. Nous réservons avec l’agence Blue Car Rental.

Encore un truc important, les vêtements. Prévoyez des vêtement chauds et coupe vent car le vent (on dirait la tempête) en Islande est très rude (même mon bonnet s’est envolé avec le vent T T ).

Et voici la liste des liens qui nous ont servi pour la préparation de notre voyage en Islande :

Guide to Iceland (en français)

Blue Car Rental   Agence recommandée pour la location de voiture

Icelandic Meteorogical Office  Météo et la prévision des aurores boréales

The Icelandic Road and Coastal Administration  Site pour l’état des routes

Stations-service N1   Carte des stations-service N1 en Islande

Tout est prêt, c’est l’heure de partir !!

 

เมื่อแพลนเส้นทางกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาหาที่พัก ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเราทำการจองช่วงเดือนมกราคม สองเดือนก่อนเดินทาง ซึ่งถือว่ากระชั้นชิดมาก และทำให้หาที่พักยาก อีกทั้งยังแพงอีกด้วย ถ้าใครจะไปเที่ยวไอซ์แลนด์ก็แนะนำว่าให้จองที่พักล่วงหน้านานๆนะคะ

อันดับสุดท้ายคือการจองรถ พาหนะสำคัญเลยที่จะพาเราไปสู่จุดหมายต่างๆ ซึ่งเราทำการจองกับ Blue Car Rental ค่ะ

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้เลยก็คือเสื้อผ้าค่ะ ในช่วงที่เราไปเป็นช่วงฤดูหนาว เพราะฉะนั้นเตรียมเสื้อกันหนาว หมวก ถุงมือ ถุงเท้าหนาๆ ไปให้หมดเลย เสื้อหนาวก็ขอแนะนำเป็นเสื้อหนาวที่กันลมกันฝนได้นะคะ เพราะที่ไอซ์แลนด์ลมแรงมากๆๆๆ (แรงถึงขนาดที่ทำหมวกของเราปลิวไปเลยค่ะ แล้วก็หาไม่เจอด้วย ฮือๆๆๆ)

แล้วนี่ก็คือเว็บไซต์ที่มีประโยชน์สำหรับพวกเราในการเตรียมโร้ดทริปที่ไอซ์แลนด์ค่ะ

Guide to Iceland  เป็นเว็บไซท์ที่ให้ข้อมูลเกือบทุกอย่างเกี่ยวกับไอซ์แลนด์ค่ะ

Blue Car Rental  บริษัทเช่ารถที่เราใช้บริการ (ขอแนะนำค่ะ)

Icelandic Meteorogical Office  เว็บไซต์พยากรณ์อากาศและแสงเหนือ

The Icelandic Road and Coastal Administration  เว็บไซต์เกี่ยวกับสภาพถนนและการจราจรทั่วไอซ์แลนด์

ปั๊มน้ำมัน N1  แผนที่ปั๊มน้ำมัน N1 ทั่วไอซ์แลนด์

 

เอาล่ะ เมื่อตระเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ

 

17 Février 2017  Bonjour Islande !!

17 กุมภาพันธ์ 2560 เห่นนโล่ววว ไอซ์แลนด์ !!

Icelandair nous amène en Islande depuis Paris. Nous atterrissons à 15h50 à l’aéroport internationale de Keflavik. Une fois les bagages récupérés, nous avons prenons la navette gratuite de l’aéroport pour aller à l’agence de location de voiture, Blue Car Rental. En fait, ce n’est pas très loin mais il vaut mieux prendre la navette quand il pleut (la pluie nous accueille dès le premier jour lol ). Ensuite, nous prenons la direction de notre hébergement, Brattagata Guesthouse, qui se situe dans le centre ville de Reykjavik. Il faut 40 minutes pour se rendre de l’aéroport à la capitale. Nous arrivons tard. Il fait presque noir. Après avoir déposé nos bagages, nous partons nous balader en ville.

เราใช้บริการสายการบิน Icelandair บินตรงจากปารีสมาถึงที่สนามบินนานาชาติ Keflavik เวลา 15.50น เมื่อเราทำการรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ตรงไปเอารถที่ Blue Car Rental เลยค่ะ ซึ่งถ้าเดินไปจะค่อนข้างไกล ฝนก็ตกด้วย เราเลยใช้บริการรถเมล์ฟรีที่สนามบิน พอรับรถมาเสร็จเรียบร้อย เราก็ตรงไปที่ที่พักก่อนเลย เราจอง Brattagata Guesthouse ที่อยู่ในตัวเมือง Reykjavik เลย จากสนามบินไปที่ในตัวเมืองหลวงนั้นใช้เวลาขับรถประมาณ 40 นาที กว่าจะขับไปถึงแล้วก็หลง วนรถอยู่หลายรอบก็จวนจะเย็นแล้ว เราเลยได้วิวยามค่ำคืนของ Reykjavik มาให้ชม

La première chose, que nous visitons est l’église Hallgrímskirkja. C’est une église luthérienne et la plus grande église d’Islande (le luthéranisme représente 97% de la population islandaise). Le nom de l’église vient du célèbre poète et pasteur islandais Hallgrímur Pétursson (1614-1674). Elle a été construite par l’architecte islandais Guðjón Samúelsson qui a commencé les plans en 1945. Il lui a fallu 40 ans pour la finir. Pour moi, cette église est vraiment différent de celles que j’ai vu en Europe. Je la trouve moderne et étrange en même temps. En fait, l’église s’inspire des paysages islandais (glaces, montagnes etc..). Dans la journée, vous pouvez aller à l’intérieur et monter pour admirer la vue sur Reykjavik . Malheureusement, elle est déjà fermée quand nous arrivons.

สำหรับค่ำคืนแรกนั้นเราไปชมโบสถ์ Hallgrímskirkja โบสถ์คริสต์ลูเธอร์แรนที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์

(97% ของชาวไอซ์แลนด์นับถือศาสนาคริสต์ลูเธอร์แรน) ชื่อของโบสถ์ตั้งตามชื่อนักกวีและนักบวช Hallgrimur Pétursson โบสถ์นี้สร้างโดยสถาปนิกชาวไอซ์แลนด์ Guðjón Samúelsson ซึ่งเค้าได้เริ่มริเริ่มร่างแปลนในปีค.ศ. 1945 และใช้เวลากว่า 40 ปีในการสร้างโบสถ์ให้แล้วเสร็จ ตอนที่เห็นโบสถ์นี้ครั้งแรกรู้สึกว่าแปลกตามาก แตกต่างจากโบสถ์ที่เคยเห็นในฝรั่งเศส อิตาลี หรือประเทศอื่นๆในยุโรป มันดูโมเดิร์นทันสมัยมาก ซึ่งโบสถ์นี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากทัศนียภาพและภูมิประเทศของไอซ์แลนด์ เช่น น้ำแข็ง ภูเขานั่นเอง  หากเราเข้าไปในโบสถ์ เราก็สามารถขึ้นไปดูวิวของเมืองเรคยาวิกได้ แต่เสียดายที่เรามาถึงตอนเกือบค่ำแล้ว โบสถ์ก็ปิดไปซะละ

Hallgrímskirkja

Hallgrímskirkja

Nous terminons la soirée en nous baladant dans Reykjavik puis nous rentrons pour être en en pleine forme le lendemain. Demain, ça va être le début du Road trip !!

หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นรอบๆเมือง ดูวิวยามค่ำคืน และกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันต่อไป ที่เราจะเริ่มโร้ดทริปกันล้าววว

Reykjavik

Reykjavik

 

18 Février 2017  Cercle d’Or et à la recherche de la cascade bleue

18 กุมภาพันธ์ 2560 วงแหวนทองคำกับการตามหาน้ำตกสีฟ้า

Nous quittons Reykjavik pour le cercle d’or. C’est un parcours très touristique. Vous allez voir 3 sites incontournables : le parc national Thingvellir (Þingvellir), Geysir et la cascade Gullfoss.

วันนี้เราออกเดินทางจากเรคยาวิกสู้เส้นทางวงแหวนทองคำ (ของรักของข้าาาาา อ้าวว ไม่ใช่ๆ คนละแหวนกัน) เส้นทางนี้คิดว่านักท่องเที่ยวทุกคนต้องไม่พลาด เป็นเส้นทางที่ทุกคนจะได้พบกับสถานที่ท่องเที่ยว 3 ที่ นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติ Thingvellir น้ำพุร้อน Geysir และน้ำตก Gullfoss

Reykjavik

Le Thingvellir, mot islandais, veut dire “la plaine du parlement”. D’après l’histoire, l’endroit devait servir pour la réunion dans un premier temps. Le site est classé au Patrimoine Mondiale de l’Unesco depuis 2004. En étant dans ce parc, savez-vous que vous êtes entre 2 continents; l’Amérique et l’Europe ?

เรามาถึงที่อุทยานแห่งชาติ Thingvellir กันก่อน Thingvellir หรือ Þingvellir นั้นมาจากภาษาไอซ์แลนด์ แปลว่า สภาทุ่งหญ้า ซึ่งก็คงจะหมายถึงสภาที่ตั้งในทุ่งหญ้าแห่งนี้เพื่อใช้เป็นลานประชุมของไอซ์แลนด์ในยุคแรกๆ อุทยานแห่งชาตินี้ได้ถูกขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 2004 นอกจากนี้จุดนี้ยังเป็นจุดเชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาและทวีปยุโรปอีกด้วย

Thingvellir

Après la visite du parc Thingvellir, nous prenons la route vers la cascade Bruarfoss, qui n’est mentionnée dans aucun guide mais elle se situe dans le cercle d’or. En fait, je l’ai trouvé par hasard dans un forum de discussion. Ça m’a motivé d’aller la voir en vrai. Le problème est qu’il est difficile de trouver cette cascade secrète, même avec le GPS. Aucun panneau, aucune indication. J’ai trouvé comment y aller sur internet et ….. Merci à ce forum qui nous a sauvé la vie ! Nous avons garé la voiture à côté de l’entrée et marcher encore un petit bout. L’accès n’est pas très confortable avec pleins de boue et des flaques d’eau mais je peux tout faire pour voir cette cascade !! Nous la trouvons et là nous sommes bouche bée !! C’est vraiment magnifique!  La couleur est naturellement bleue ! J’ai même envie de rester une nuit ici.

หลังจากที่เราเดินชมอุทยานกันเรียบร้อยแล้ว จุดมุ่งหมายต่อไปของเราก็คือน้ำตก Bruarfoss ที่ยังอยู่เส้นทางวงแหวนทองน้ำนี้ ถือว่าเป็นน้ำตกที่ลึกลับมากๆ แม้แต่ในหนังสือท่องเที่ยวก็ยังไม่ได้พูดถึงน้ำตกนี้ แต่เผอิ๊ญญญเราเข้าไปในกระทู้ที่พูดถึงไอซ์แลนด์ตามเว็บต่างๆ ก็ไปเจอคนที่พูดถึงน้ำตกสีฟ้านี้ ทำให้กระตุ้นต่อมอยากไปมากก ปัญหาก็คือไม่มีป้ายบอก แม้แต่ gps ก็หาไม่เจอ เราจึงต้องหาตามกระทู้ตามเว็บต่างๆ จนมาเจอข้อความนึงที่อธิบายทางเข้าอย่างละเอียดมาก และแล้วเราก็เจอทางเข้า ต้องจอดรถไว้และเดินเข้าไปอีก ทางเข้าก็สมบุกสมบันมาก (ตามภาพ) ประกอบกับฝนที่ตกเมื่อคืนทำให้เจอทั้งน้ำ ทั้งโคลน แต่เพื่อน้ำตกสีฟ้านี้ เรายอมค่ะ แม้จะมีอุปสรรคเพียงใดแต่ปลายทางมักมีความสวยงามรออยู่เสมอ ในที่สุดเราก็มาเจอน้ำตก Bruarfoss น้ำตกสีฟ้าที่สวยงาม มันทำให้อยากจะอยู่ที่นี่ซักคืนนึงเลยค่ะ

Chemin vers Bruarfoss ทางไปสู่น้ำตก Bruarfoss

Chemin vers Bruarfoss ทางไปสู่น้ำตก Bruarfoss

Chemin vers Bruarfoss ทางไปสู่น้ำตก Bruarfoss

Chemin vers Bruarfoss ทางไปสู่น้ำตก Bruarfoss

Bruarfoss

Bruarfoss

 

Puis, nous continuons la route vers Geysir (le mot “geysir” vient d’ici). Il jaillit 2 – 3 fois par jour toutes les 5 – 8 minutes, à des hauteurs de 20 mètres (même jusqu’à 30 – 60 mètres avant 1950).

หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปดูน้ำพุร้อนเกย์เซอร์ (Geysir) น้ำพุร้อนนี้จะพุ่งออกมาทุกๆ 5-8 นาที และจะพุ่งทะยานไปถึง 20 เมตรเลยทีเดียว ก่อนปีค.ศ. 1950 เกย์เซอร์นี้เคยพุ่งถึง 30-60 เมตรมาแล้ว

Geysir

Geysir

 

Le dernier site pour aujourd’hui est la cascade Gullfoss qui veut dire “chutes d’or”. En Islande, quand vous voyez un mot qui se termine par “-foss”, cela veut dire la cascade. Ce n’est pas la plus puissante cascade mais ça reste encore magnifique.

เมื่อดูน้ำพุที่พวยพุ่งเสร็จเรียบร้อย เราก็ขับรถต่อที่น้ำตก Gullfoss ซึ่งแปลว่าน้ำตกทองคำนั่นเอง ที่ไอซ์แลนด์นั้นเราจะเห็นคำว่า foss ตามท้ายเยอะมาก คำนี้แปลว่าน้ำตกค่ะ ถ้าเห็นคำนี้ที่ไหนก็รู้ไว้เลยว่าคุณจะได้เจอกับน้ำตกนั่นเอง สำหรับน้ำตก Gullfoss นี้เป็นน้ำตกนี้ไหลแรงมาก ช่วงที่เราไปนั้นเป็นหน้าหนาว จะเห็นได้ว่ายังมีร่องรอยหิมะอยู่เลย น้ำตกนี้สวยงามอลังการมาก แล้วก็หนาวมากด้วยค่ะ

Gullfoss

Gullfoss

 

 

ม้าไอซ์แลนด์ เตี้ยและถึก
Chevaux typiquement islandais

Ce soir, nous dormons chez Julia’s Guesthouse à Selfoss. Elle vit avec son mari et leur fils. La famille est très accueillante. Nous arrivons au crépuscule et elle nous prépare du thé et un goûter. Elle nous donne également des informations pour voir les aurores boréales. En tout cas, le ciel n’est pas dégagé ce soir. Il y a donc peu de chance d’en voir ce soir.

สำหรับค่ำคืนนี้เราพักกันที่ Julia’s Guesthouse ซึ่งที่เมือง Selfoss ค่ะ ซึ่งเป็นบ้านของจูเลียเอง อยู่กับสามีและลูกชายหนึ่งคน เป็นครอบครัวที่น่ารักและเป็นกันเองมากค่ะ ตอนเราไปถึงซึ่งก็เป็นช่วงค่ำๆแล้ว จูเลียก็จัดชาพร้อมขนมมาต้อนรับเรา แล้วก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแสงเหนือ แต่จูเลียบอกว่าคืนนี้คงไม่ต้องหวัง เพราะเมฆบดบังเยอะมาก เราก็คงต้องรอดูวันอื่นแล้วล่ะค่ะ

 

19 Février 2017  Volcan.. Cascade et adieu.. appareil photo

19 กุมภาพันธ์ 2560  ภูเขาไฟ.. น้ำตก.. และลาก่อนกล้องที่รัก

Réveil au petit matin avec un très bon petit déjeuner préparé par Julia. Avant de partir, je prends une petite photo avec elle en souvenir. Si vous passez ou devez faire une pause à Selfoss, je vous recommande fortement de dormir chez Julia’s Guesthouse Vous n’allez pas être déçu. 

เราตื่นเช้ามาพร้อมกับอาหารเช้าที่จูเลียเตรียมไว้ให้ ก่อนที่จะเดินทาง ก็ขอแชะรูปกับจูเลียซะหน่อย สำหรับใครที่ผ่านมาแถว Selfoss เราก็ขอแนะนำที่นี่นะคะ Julia’s Guesthouse แล้วคุณจะไม่ผิดหวังเลยค่า

Nous allons à Kerid, qui ne se trouve pas loin de Selfoss. C’est un cratère rempli d’eau et on dirait un petit lac ! Nous sommes même descendus pour le voir plus près.

ที่แรกที่เราจะไปวันนี้ก็คือปากปล่องภูเขาไฟ Kerid ซึ่งเราเดินชมรอบๆ พร้อมกับลงไปข้างล่างเพื่อถ่ายรูปน้ำชัดๆ

Kerið

Kerið

Kerið

Kerið

Une petit pause à Keldur, qui se situe à 15 km au nord-est de Hella. À Keldur, vous trouverez d’anciennes maisons construites au 12ème – 13ème siècle.

เราขับรถมุ่งหน้าต่อไปที่ Keldur ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Hella ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 15 กม. ซึ่งที่นี่มีบ้านไอซ์แลนด์อันเก่าแก่ที่สร้างในสมัยศตวรรษที่ 12 – 13

Anciennes maisons à Keldur บ้านเก่าแก่ที่ Keldur

Anciennes maisons à Keldur บ้านเก่าแก่ที่ Keldur

Nous continuons vers la cascade Seljalandsfoss. C’est la cascade que j’ai absolument envie de voir !! À l’arrivée, je reste bouche bée devant l’immensité de cette cascade !! L’eau chute de 65 mètres de la falaise. C’est la seule cascade où l’on peut admirer la vue derrière son rideau mais il faut prévoir le k-way car vous allez être bien trempés ! Lors de la montée de l’escalier, je commence à sentir les gouttelettes tomber sur mon visage avec le bruit énorme de la cascade. Je ne sentirai pas sa grandeur si je ne m’en approche pas.

จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่น้ำตก Seljalandsfoss ความจริงน้ำตกที่ไอซ์แลนด์มีเยอะมาก แต่นี่คือน้ำตกที่เราชอบมากที่สุด ทันทีที่ไปถึงเราก็ตกตะลึงถึงความยิ่งใหญ่ของน้ำตกนี้ที่มีความสูงถึง 65 เมตร และเป็นน้ำตกเดียวที่เราสามารถเดินลัดเลาะไปข้างหลังม่านน้ำตกได้ แต่ต้องเตรียมชุดกันฝนไปอย่างดีนะคะ เพราะงานนี้เปียกชัวร์ๆ

 

Seljalandsfoss

 

Voilà je suis arrivée à l’arrière du rideau, bien trempée !! มาถึงหลังม่านน้ำตกแล้วค่า เปียกปอนไปตามๆกัน

Derrière la cascade Seljalandsfoss หลังม่านน้ำตก Seljalandsfoss

Derrière la cascade Seljalandsfoss หลังม่านน้ำตก Seljalandsfoss

 

Soudain, il nous arrive un truc inattendu à l’arrivée derrière le rideau de Seljalandsfoss ! L’appareil photo ne marche plus !! Peut-être que de l’eau est entré dans l’appareil. Bon.. ce n’est que le troisième jour de voyage T T Oh nonnnn.. ne nous quitte pas !

Enfin bref.. impossible de revenir en arrière.. Si vous voulez passer derrière cette cascade, n’oubliez pas de protéger tous vos appareils électroniques.

และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ขณะที่กำลังตั้งกล้องอยู่เตรียมจะถ่ายรูปอยู่ด้านหลังน้ำตก กล้องก็แฮงค์ขึ้นมาดื้อๆ อย่านะ นี่เพิ่งวันที่สามของการเดินทางเอง งานนี้ดับฝันที่จะได้ถ่ายรูปสวยๆที่ไอซ์แลนด์ ฮือๆๆ หากใครที่มาเที่ยวน้ำตกนี้ แล้วต้องการเดินไปชมความสวยงามด้านหลังน้ำตก ก็ขอให้ระวังเรื่องกล้องด้วย เพราะมันไม่ใช่แค่ละอองน้ำ แต่เรียกได้ว่าห่าฝนเลยก็ว่าได้

Nous retournons à la voiture pour essayer de rallumer l’appareil photo mais il ne fonctionne toujours pas. Bon la vie continue et le voyage aussi. Heureusement, il nous reste encore le smartphone et le caméscope.

Nous continuons la route avec le coeur brisé vers.. (encore) la cascade Skogafoss. Elle vaut vraiment le coup d’y aller ! Elle est haute de 60 mètres et large de 25 mètres. Nous avons pris l’escalier avec à peu près 380 marches pour monter voir la vue en haut de la cascade. Il faut faire très attention car c’est raid et un peu glissant.

หลังจากที่พยายามอยู่เปิดปิดกล้องอยู่นาน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะใช้งานได้เลย งานนี้ก็ได้แต่ทำใจล่ะค่า โชคดีที่ยังมีโทรศัพท์กับกล้องวิดีโอ ก็ยังพอเก็บภาพสวยๆมาได้บ้าง เอาล่ะ ไปกันต่อ  สถานีต่อไปของเราก็คือน้ำตก (อีกแล้ว) Skogafoss น้ำตกนี้มีความสูงถึง 60 เมตร พอๆกับ Seljalandsfoss และกว้าง 25 เมตร เราสามารถเดินขึ้นไปชมวิวข้างบนได้ ซึ่งเค้าก็ได้จัดทำทางไว้ให้เดินสะดวก ประมาณ 380 ขั้น แต่ก็แอบชันเล็กๆนะคะ ตอนเดินขึ้นไปลมก็แรงมาก ต้องคอยจับราวไว้ให้ดีๆ

Skogafoss

 

 

Dernier endroit pour aujourd’hui, nous allons voir l’avion américain, qui s’est écrasé le 23 novembre 1973 sur le sable noir en pleine guerre froide. Il n’y a aucun panneau pour indiquer l’endroit mais il se situe entre Vik et Skogafoss. Vous allez remarquer le parking où il y a plein de voitures. Nous devons encore marcher pour l’atteindre. C’est vraiment un chemin avec du sable noire sans fin et il n’y a rien autour ! Le vent gelé a tapé mon visage et mes mains ont commencé à geler. Je ne pensais pas qu’il allait faire si froid. J’avais donc laissé les gants au chaud dans la voiture). Au bout d’une demie heure, nous sommes finalement arrivés là où se trouve ce fameux avion abandonné et posé sur le sable noire.. au milieu de nulle part. Et voilà quelques photos que nous avons prises.

ที่สุดท้ายที่เราไปดูวันนี้ก็คือ ซากเครื่องบินอเมริกันที่ตกในช่วงสงครามเย็นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1973 ส่วนใหญ่คนที่ไปอาจจะหาไม่เจอเพราะไม่มีป้ายบอก สำหรับเส้นทางนั้นจะอยู่ระหว่างเมือง Vik และน้ำตก Skogafoss ค่ะ พอไปถึงแล้วก็ต้องจอดรถไว้และเดินเข้าไปอีกเกือบ 4 กิโลเมตร ระหว่างที่เดินไปนั้นก็เจอแต่หาดทรายสีดำ เป็นที่โล่งกว้างไม่มีอะไรให้ชื่นชมระหว่างทางเดินเลย มันช่างเป็นทางเดินที่ไม่เห็นจุดหมายปลายทาง ลมเย็นยะเยือกก็พัดมาเป็นระลอกๆ และหลังจากเดินมาเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเราก็ได้เห็นซากเครื่องบินนี้ซักที

Ce soir, nous logeons à Sólheimahjáleiga Guesthouse.

สำหรับค่ำคืนนี้เราพักกันที่ Sólheimahjáleiga Guesthouse ค่ะ

 

20 Février 2017  Plage de sable noir et champs de lave

20 กุมภาพันธ์ 2560  หาดสีดำกับทุ่งลาวาเขียวขจี

Après le check-out, nous avons commencé la journée en nous rendant à la falaise Dyrholaey. Les vagues et le vent étaient tellement forts que mon visage et mes mains ne sentaient plus rien. Ces falaises me font penser un peu à celles d’Étretat.

หลังเช็คเอ้าท์ เราก็เดินทางต่อไปที่หน้าผา Dyrholaey คลื่นแรง ลมก็แรงด้วยค่ะ หน้าชาปากชาไปตามๆกัน

Pas loin de Dyrholaey, nous avons trouvé une plage de sable noir à Vik. Le vent était aussi fort qu’à Dyrholaey. Je pense que c’est le bon endroit pour voir le coucher du soleil.

หลังจากนั้นเราก็ไปกันต่อที่หาดทรายสีดำ ณ เมือง Vik ลมและคลื่นยังคงแรงมากเหมือนเดิม ต้องระวังมากๆค่ะ ขนาดตัวเรายังเกือบปลิวเลย

Plage de sable noir à Vik ชายหาดสีดำ ณ Vik

Plage de sable noir à Vik ชายหาดสีดำ ณ Vik

 

 

Sur la route vers la cascade Svartifoss, nous remarquons les champs de lave Eldhraun tout au long de la route. Nous nous arrêtons pour prendre quelques photos. Les mousses sont très molles et c’est agréable pour marcher ! Ces champs se sont créées lors de la terrible éruption du volcan Laki en 1783 – 1784 (le 8 juin 1783 – 7 février 1784). Cette éruption volcanique a coûté beaucoup de vies et détruit les fermes ainsi que les pâturages. Plus tard, la lave d’Eldhraun a commencé à refroidir et est devenu ces paysages verts et mousseux sur des dizaines de kilomètres.

เรามุ่งหน้ากันไปต่อที่น้ำตก Svartifoss ระหว่างทางเราก็พบกับทุ่งมอสส์ Eldhraun ที่ยาวมากตลอดทาง เป็นทุ่งลาวาที่ปกคลุมด้วยมอสส์ที่นุ่ม ย้ำเลยค่ะว่านุ่มมากๆ    ทุ่งมอสส์นี้เกิดขึ้นมาก็เพราะช่วงระหว่างปีค.ศ.1783-1784 (ช่วง 8 มิถุนายน 1783 – 7 กุมภาพันธ์ 1784) เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ Laki มีผู้คนล้มตายเยอะมาก อีกทั้งลาวาก็ได้ทำลายพื้นที่เกษตรกรรมของหมู่บ้าน Kirkjubæjarklaustur ไปเยอะมากเช่นกัน หลังจากนั้นลาวาก็เริ่มที่จะเย็นลงๆจนกลายเป็นทุ่งมอสส์ที่ยาวหลายสิบกิโลเมตรให้เราเห็นจนทุกวันนี้

 

Champs de lave Eldhraun ทุ่งมอสส์ Eldhraun

Champs de lave Eldhraun ทุ่งมอสส์ Eldhraun

Nous arrivons à la cascade basaltique Svartifoss. Elle fait partie du parc national Vatnajökull. Il faut faire une petite randonnée pour accéder à la cascade qui se trouve au milieu du parc.

และแล้วเราก็มาถึงน้ำตก Svartifoss เป็นน้ำตกที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull เราต้องเดินป่าขึ้นเขาไปอีกเพื่อไปชมน้ำตกหินบะซอลต์รูปร่างแปลกตานี้ เป็นไงล่ะคะ สวยป๊ะล้าาา

Le temps passe vite et nous arrivons au bout de la journée. C’est l’heure de nous rendre à notre hébergement réservé.

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็เริ่มพลบค่ำอีกแล้ว ได้เวลาขับรถมุ่งหน้าสู่ที่พักแล้วค่ะ

21 Février 2017  Lac glaciaire géant

21 กุมภาพันธ์ 2560 ทะเลสาบน้ำแข็งอันหนาวยะเยือก

Nous nous réveillons sous la neige, qui avait continué à tomber derant la nuit passée. Je suppose qu’elle va continuer à tomber parce que nous sommes en train de remonter vers le nord est.

เราตื่นเช้ามาพร้อมกับหิมะที่เกาะรถเต็ม เนื่องจากหิมะตกเมื่อคืน และคาดว่าน่าจะตกอีกนับจากนี้เป็นต้นไป เพราะเราจะเริ่มขับขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ

C’est le premier jour de notre voyage en Islande où nous devons rouler sur la chute la neige. Nous prenons la direction de Jökulsárlón. C’est la lagune glaciaire la plus grande en Europe !! Elle est née dans les années 1930 au moment de la fonte des glaciers. Sa profondeur est de 200 mètres !! Nous essayons de nous éloigner de la foule de touristes. J’aperçois des blocs de glaces, qui ressemblent aux diamants, tellement magnifique !! Par chance, vous pouvez même voir des lions de mer mais nous n’apercevons que quelques phoques au loin.

วันนี้เป็นวันแรกในไอซ์แลนด์ที่เราต้องขับรถท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก ถนนก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ สวนกับรถกวาดหิมะเป็นระยะๆ เราจึงต้องระมัดระวังและใช้เวลาในการขับ สำหรับวันนี้เราไปกันที่เดียวก็คือ ทะเลสาบน้ำแข็ง Jökulsárlón เป็นทะเลสาบน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เกิดขึ้นในปีค.ศ. 1934-1935 แล้วก็ขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะธารน้ำแข็งละลายเพิ่มขึ้นในทุกๆปี ธารน้ำแข็งแห่งนี้มีความลึกถึง 200 เมตรเลยทีเดียว !  เราก็เดินรอบๆ พยายามเดินออกห่างไปจากกลุ่มนักท่องเที่ยว แล้วก็ได้เห็นแมวน้ำที่แหวกว่ายอยู่ไกลๆ ว่ากันว่าบางทีก็ได้เห็นสิงโตทะเลด้วย แต่เสียดายที่เราไม่เห็น

Jökulsárlón

Jökulsárlón

Jökulsárlón

Avec la neige, qui tombe et l’hébergement pour ce soir qui se situe à une centaine de kilomètres de Jökulsárlón, nous ne devons pas tarder à quitter le lieu. Nous arrivons à Stafafell Cottage vers 15h00. C’est un petit chalet, qui appartient à un agriculteur islandais. Sa maison n’est pas très loin. Il n’y a pas grand chose aux alentours à part l’océan et les montagnes. Je peux trouver la vrai sérénité et la tranquillité ici en espérant voir des aurore boréales. Mais finalement.. pas ce soir.

ด้วยความที่ที่พักของเราคืนนี้อยู่ห่างจากทะเลสาบน้ำแข็งถึงร้อยกิโลเมตร แถมหิมะก็ตกด้วย เราจึงค่อยๆขับไปและถึงที่พักประมาณบ่ายสามโมง คืนนี้เราพักที่ Stafafell Cottage เป็นบ้านทั้งหลังเลย หลังเล็กๆ มีห้องครัว ห้องนอน ห้องน้ำ เจ้าของเป็นเกษตรกรไอซ์แลนด์ บ้านของเค้าก็อยู่อีกหลังนึง รอบๆก็ไม่มีอะไร สงบเงียบมาก เราก็เลยคาดหวังว่าถ้าไม่มีมลภาวะใดๆก็น่าจะมีโอกาสได้เห็นแสงเหนือ แต่ก็แห้วอีกตามเคย

Chevaux islandais au bord de la route เจอม้าไอซ์แลนด์อีกแล้วค่ะ

Là où on fait dodo ce soir นี่แหละค่าที่พักสำหรับคืนนี้

La vue depuis la fenêtre วิวจากทางหน้าต่าง

Cliquez ici pour l’Islande Partie II  Des Fjords de l’Est au Nord de l’Islande

ไปต่อกันที่ไอซ์แลนด์ ภาค 2 เลยค่ะ จากฟยอร์ดตะวันออกสู่ทางเหนือของไอซ์แลนด์

Author

Laisser un commentaire

Votre adresse de messagerie ne sera pas publiée. Les champs obligatoires sont indiqués avec *

CommentLuv badge